การคุมกำเนิดเป็นการช่วยให้พ่อแม่ได้เตรียมความพร้อมกับระยะเวลาที่จะมีลูกให้เหมาะสมกับช่วงเวลาและองค์ประกอบต่างๆ ภายในครอบครัวและสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยเด็กที่จะเกิดมานั้นได้รับความรักความเอาใจใส่ และเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด และเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
การคุมกำเนิด แบ่งได้ 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
1. การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
สำหรับฝ่ายหญิง
- ยาเม็ดคุมกำเนิด (เป็นการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่จะทำให้เป็นอันตรายแก่ผู้หญิงเหมือนกันถ้ากินอย่างต่อเนื่อง)
- ถุงยางอนามัยสตรี(ได้รับความนิยมน้อยที่สุด)
- ห่วงอนามัย (สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3 - 8 ปี แล้วแต่ชนิดของห่วงอนามัย)
- ยาฉีดคุมกำเนิด (ฉีด 1 ครั้งสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3 เดือน)
- ยาเหน็บช่องคลอด
- แผ่นคุมกำเนิด
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดกินหลังการมีเพศสัมพันธ์ (จะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์)
- แคปซูลฝังคุมกำเนิด (ใช้โดยการสอดเข้าใต้ท้องแขนของผู้หญิงเป็นระยะเวลาสามถึงห้าปี ขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้)
- ยาฆ่าอสุจิ (ใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว)
- ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน (จะต้องใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ยานี้ยังสามารถใช้กับหญิงให้นมบุตรได้)
- ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่าง เดียว (ควรใช้ยาตัวนี้ในเวลาเดียวกันของทุกวัน หากลืมใช้ยาจนเลยเวลาไปแล้วเกินกว่า 27 ชั่วโมง จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดเพิ่มเติมสำหรับช่วง 14 วันถัดไป ให้ใช้ยาตามปกติ)
วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้
- ช่วงปลอดภัย
ตามทฤษฎี เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ หากไม่มีการร่วมเพศในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตกไข่ แต่เป็นวิธีการที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของช่วง การตกไข่ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป
- วิธีการหลั่งภายนอก
หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเชื้ออสุจิ อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เชื้ออสุจิบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนการหลั่งเกิดขึ้น ทำให้เชื้ออสุจิที่ผิวหนังรอบๆ ปากมดลูกเคลื่อนตัวเข้าไปในปากมดลูกได้
สำหรับฝ่ายชาย
- การใช้ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย เช่น โรคเอดส์
2. การคุมกำเนิดแบบถาวร
- การทำหมันหญิง ใช้การผูกหรือการตัดปีกมดลูก ไม่ให้ตัวอสุจิสามารถเดินทางผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้
- การทำหมันชาย ใช้วิธีตัดและผูกท่อนำน้ำเชื้ออสุจิทั้งสองข้างไว้
การทำหมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคุมกำเนิด ซึ่งจะไม่สามารถมีบุตรได้ หากทำหมันแล้ว และการแก้ไขในภายหลังก็จะทำได้ยากเช่นกัน ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนจึงค่อยตัดสินใจทำหมัน
ขอขอบคุณข้อมูล จาก
http://weddingmakmy.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น