แต่งงานต่างโบสถ์ได้ไหม
ส่วนใหญ่ชาวคริสต์จะมีโบสถ์ประจำของตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นโบสถ์ที่เข้ามาตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่ เวลาแต่งงานก็ต้องแต่งที่โบสถ์นั้น และถ้าชาวคริสต์รักกันเองแต่อยู่ต่างโบสถ์กัน ก็ต้องเลือกมาสักโบสถ์
ชาวคริสต์ส่วนใหญ่จะผูกพันกับโบสถ์ที่ตัวเองเติบโตขึ้นมา การแต่งต่างโบสถ์ไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่ก็ยืดหยุ่นได้ถ้ามีเหตุผลที่เพียงพอ อย่างเช่นโบสถ์ของตัวเองเล็กเกินไป ไม่สามารถรับรองแขกได้ทั้งหมด แต่ก่อนการแต่งงานอาจารย์ประจำโบสถ์ที่ทำพิธีจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับอาจารย์ประจำโบสถ์ของบ่าว-สาวก่อน เพื่อเป็นการให้เกียรติ และเพื่อเช็กว่าบ่าว-สาวได้แจ้งอาจารน์ประจำโบสถ์ไว้อย่างถูกต้องแล้วสถานที่แต่งงาน
ชาวคริสต์ถือว่าโบสถ์คือความศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ จึงรู้สึกดีและรู้สึกถึงความเป็นมงคล แต่มีบางคู่ที่ต้องแต่งงานกันข้างนอกหรือสถานที่อื่น เพราะบาทหลวงหรือศิษยาภิบาลไม่ให้เข้าไปแต่งงานในโบสถ์ อย่างเช่นคู่รักต่างศาสนาที่ยังไม่ได้รับการอบรมการเป็นชาวคริสต์ หรือคู่ที่ท้องก่อนแต่ง อาจารย์บางท่านอาจพิจาณาเหตุและผลที่เหมาะสม และประกอบพิธีให้ แต่ต้องไม่ใช่ในโบสถ์ หรือบางท่านที่อนุรักษ์นิยมมาก ก็จะไม่ประกอบพิธีให้เลย
Pre Wedding
ก่อนการแต่งงาน ชาวคริสต์ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่ภายใต้ความเชื่อและความศรัทธาแบบเดียวกันจากบาทหลวงหรือศิษยาภิบาลก่อนทุกคน เนื้อหาของบทเรียนเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันตามคำสอนที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ เพราะเกี่ยวข้องกับความศรัทธาว่า 2 คนจะดำรงชีวิตในความศรัทธาอย่างไรที่จะส่งต่อไปสู่ลูกในวันข้างหน้าได้อย่างถูกต้อง เวลาในการเรียนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคู่ แต่ส่วนใหญ่จะเรียนไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ไม่เรียนได้ไหม ไม่เรียนไม่ได้ เพราะบาทหลวงหรือศิษยาภิบาลก็จะไม่ประกอบพิธีแต่งงานให้ แต่ก็มีบางท่านที่ยอม ซึ่งท่านจะดูตามเหตุผลและความเหมาะสม ได้ทราบหลักใหญ่ๆ ใจความสำคัญของการแต่งงานของศาสนาคริสต์ไปแล้ว มาทราบรายละเอียดของพิธีการกันบ้างเตรียมตัวก่อนแต่งงาน
ไม่แตกต่างกับงานแต่งงานทั่วไปคือ เริ่มจากการสู่ขอ จองสถานที่จัดงานเลี้ยง พิมพ์และส่งการ์ดเชิญ และที่สำคัญคือจองโบสถ์ ซึ่งรวมไปถึงการจองผู้ประกอบพิธีกรรมคือ บาทหลวง (สำหรับคาทอลิก) หรือศิษยาภิบาล ( สำหรับคริสเตียนหรือโปแตสแตน)
นอกจากนั้นคู่บ่าว-สาวจะต้องหาเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวเพื่อช่วยดูแลความเรียบร้อยระหว่างพิธี เจ้าบ่าวจะต้องมีคนรักษาแหวนให้ก่อนพิธีแลกแหวน เจ้าสาวต้องให้เพื่อนผู้หญิงเป็นคนถือช่อดอกไม้เดินนำขบวนเข้าโบสถ์ และต้องมีผู้จุดเทียนซึ่งเป็นหญิงชายอย่างละหนึ่งคน นอกจากนี้ยังต้องหาเด็กเล็กๆ ทั้งชายและหญิงซึ่งจะเป็นลูกของพี่น้องหรือญาติก็ได้ มาช่วยในงานพิธี เด็กชายทำหน้าที่ถือหมอนรองแหวนแต่งงาน เด็กหญิงโปรยดอกไม้นำทางเจ้าสาวเข้าโบสถ์พิธีการ
เริ่มจากผู้จุดเทียนถือเทียนเดินเข้าโบสถ์เพื่อจุดเทียนที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าของโบสถ์ จากนั้นนำเทียนที่ถือไปจุดต่อยังเชิงเทียนด้านซ้ายและขวา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินออก จากนั้นนักดนตรีในโบสถ์จึงเริ่มบรรเลงเพลง ขบวนเจ้าสาวก็จะเคลื่อนเข้าสู่โบสถ์ นำโดยเด็กโปรยดอกไม้ เพื่อนเจ้าสาวที่ถือดอกไม้ เด็กถือแหวน ตามด้วยเจ้าสาวที่เดินคล้องแขนมาพร้อมกับคุณพ่อหรือญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้ชาย การที่พ่อเป็นผู้พาเจ้าสาว เข้ามาในโบสถ์นั้นมีความหมายว่าเต็มใจที่จะยกลูกสาวให้กับเจ้าบ่าว
จากนั้นบาทหลวงหรือศิษยาภิบาลจะให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนยืนขึ้นเพื่อต้อนรับเจ้าสาว แล้วถามว่า“ใครเป็นผู้มอบเจ้าสาว………….ให้กับเจ้าบ่าว…….ในวันนี้” บิดาของเจ้าสาว ซึ่งเป็นผู้มอบก็จะตอบว่า “ข้าพเจ้านาย……..บิดาของนางสาว………เป็นผู้มอบ” แล้วถอยออกมาเพื่อให้เจ้าบ่าวไปยืนคู่กับเจ้าสาวแทน……………………. หลังจากนี้เจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะให้คำสัญญาต่อกันและกันต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นหัวใจหลักของพิธีแต่งงานแบบชาวคริสต์ แล้วบาทหลวงหรือศิษยาภิบาลจะถามความสมัครใจของคู่บ่าว-สาว เมื่อทั้งคู่ตอบรับแล้ว บาทหลวงหรือศิษยาภิบาลจะให้เจ้าบ่าวสวมแหวนให้เจ้าสาวก่อนแล้วเจ้าสาวจึงจะสวมแหวนให้เจ้าบ่าวได้ แล้วจึงประกาศให้ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันโดยถูกต้อง (ตามหลักศาสนา) แล้วฉากเด็ดที่ทุกคนรอคอย (โดยเฉพาะบ่าว-สาว) ก็มาถึง เมื่อบาทหลวงหรือศิษยาภิบาลอนุญาตให้เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้ (ถ้าบ่าว-สาวขี้อาย หอมแก้มแทนก็ได้)เก็บตกพิธีการแต่งงานแบบชาวคริสต์
พิธีการและลำดับขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเชื่อ และความเหมาะสมของศาสนาคริสต์แต่ละนิกาย ตามธรรมเนียม แหวนแต่งงานต้องเป็นแหวนเกลี้ยง ทำจากทองคำหรือแพลทินัมแบบเกลี้ยง เพราะเป็นสัณลักษณ์แห่งรักนิรันดร์ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนความนิยมไปตามแฟชั่น (และกำลังทรัพย์ในกระเป๋า) บางคนเลือกแหวนทองคำขาวแทนก็ได้ ควรจองโบสถ์แต่เนิ่นๆ เพราะเรื่องจริงไม่เหมือนกับภาพยนตร์ ที่เจ้าบ่าวนึกอยากแต่งงานก็จูงมือเจ้าสาวเข้าโบสถ์ไปเลย คุยกับบาทหลวง หรือศิษยาภิบาลประจำโบสถ์ให้เคลียร์ เพราะแต่ละโบสถ์มีเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน วันก่อนแต่งงานจะมีการซ้อมใหญ่ โดยมีบาทหลวงหรือศิษยาภิบาล บ่าว-สาว และผู้ร่วมพิธี เพื่อซ้อมลำดับพิธีการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อซ้อมเสร็จผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะอาสาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองการซ้อม ที่เรียกว่า Rehearsal Dinner ขอขอบคุณ นิตยสาร WE
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น